การจัดสรรเงินอย่างไรให้เหมาะกับการลงทุนในการทำธุรกิจ

การจัดสรรเงินเพื่อการลงทุนนั้นแตกต่างจากการจัดสรรเงินเพื่อสำรองใช้จ่าย เนื่องจากการจัดสรรเงินลงทุนเป็นการนำเงินสดส่วนเกินที่มีอยู่หลังจากที่ได้สำรองค่าใช้จ่ายส่วนตัวไว้แล้ว ไปลงทุนเพิ่มเพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตามก่อนที่คุณจะจัดสรรเงินลงทุนนั้นควรหาคำตอบให้ได้เสียก่อนว่า เป้าหมายการลงทุนของคุณคืออะไร คุณสามารถยอมรับความเสี่ยงได้ในระดับใด และมีระยะเวลาที่ต้องการลงทุนนานแค่ไหน เนื่องจากเป้าหมาย ระยะเวลา และความเสี่ยงมีความสัมพันธ์กัน ยกตัวอย่างเช่น คุณมีเป้าหมายแรกที่ต้องการมีเงินไว้สำหรับเกษียณอายุ ในอีก 15 ปีข้างหน้า และรับความเสี่ยงได้ปานกลางค่อนข้างสูง การจัดสรรเงินลงทุนที่ให้น้ำหนักกับตราสารทุนจะช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายได้ง่ายขึ้น เนื่องจากตราสารทุนให้ผลตอบแทนโดยเฉลี่ยประมาณ 12-18% ต่อปี สำหรับการลงทุนระยะยาว อย่างไรก็ตาม ในอนาคตเมื่อคุณใกล้ที่จะบรรลุเป้าหมายการลงทุนแล้ว คุณอาจพิจารณาลดน้ำหนักการลงทุนในตราสารทุนลงก็เป็นได้ เห็นได้ว่าการจัดสรรเงินที่ดีจะต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจนก่อนเสมอ เพราะจะช่วยให้คุณกำหนดลักษณะการลงทุนที่สอดคล้องกับเป้าหมายได้อย่างถูกต้อง

กรณีที่เป้าหมายการลงทุนของคุณมีความสำคัญมาก และมีระยะเวลาลงทุนที่ไม่นานนัก เช่น มีเป้าหมายสำหรับค่าเทอมบุตรในอีก 3 -6 เดือนข้างหน้า การแบ่งเงินไปลงทุนในตราสารที่มีความเสี่ยงต่ำ เช่น กองทุนรวมตราสารหนี้ที่มีระยะเวลา 3 – 6 เดือน แทนการนำเงินไปเก็บไว้ในตราสารทุนที่มีความเสี่ยงสูงเป็นทางเลือกที่เหมาะสม เพราะการลงทุนในตราสารทุนด้วยระยะเวลาอันสั้น หากเกิดความผิดพลาดอาจทำให้คุณตั้งต้นใหม่ไม่ทัน

สำหรับผู้ที่ประสงค์สร้างความมั่งคั่งทางการเงินผ่านการลงทุน การจัดสรรเงินไปเก็บไว้ในตราสารหนี้ที่มีความเสี่ยงต่ำเพียงอย่างเดียว เช่น ลงทุนในตั๋วแลกเงิน พันธบัตรระยะสั้น หรือกองทุนรวมตลาดเงิน จะไม่ช่วยให้คุณประสบความสำเร็จจากการลงทุนเท่าที่ควร เนื่องจากผลตอบแทนที่ได้รับไม่เพียงพอที่จะชดเชยเงินเฟ้อ ดังนั้น สำหรับผู้ที่สามารถรับความเสี่ยงได้ต่ำ และได้กันเงินสำรองต่อการดำรงชีพแล้ว แนะนำให้จัดสรรเงินลงทุนบางส่วนในตราสารทุนบ้าง เช่น ลงทุนในตราสารทุนประมาณ 10-20% ของมูลค่าเงินลงทุนทั้งหมด ส่วนที่เหลือเป็นการลงทุนในตราสารหนี้ที่มีความเสี่ยงต่ำ เช่น กองทุนรวมตลาดเงิน พันธบัตร หรือหุ้นกู้ เป็นต้น นอกจากนี้การลงทุนระยะยาวในอสังหาริมทรัพย์ เช่น ที่ดิน หรือสิ่งปลูกสร้าง นอกจากจะช่วยให้คุณได้รับกำไรที่เป็นส่วนต่างราคา (Capital Gain) ในช่วงที่เศรษฐกิจเฟื่องฟู อีกทั้งยังสามารถสร้างดอกผลระหว่างทางด้วยการปล่อยเช่าได้อีกด้วย

 

This entry was posted in ธุรกิจ and tagged , . Bookmark the permalink.

Comments are closed.